วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (การออกสู่เชิงพาณิชย์)

ตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (การออกสู่เชิงพาณิชย์)


จากที่เคยบอกไปครับว่าจุดประสงค์ของงานเขียนนี้คือ ต้องการเผยแพร่ความรู้ในการออกแบบนวัตกรรมทางด้านผลิตภัณฑ์ การบริการจนไปถึงขบวนการในการผลิตให้คนไทยทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มนักออกแบบได้เข้าใจ เพื่อให้สามารถเป็นที่ยอมรับของคนทั่วโลก เพื่อให้คนไทยเราแข่งขันกับตลาดโลกได้ เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ไปเห็นผลไม้หลายๆอย่างในตลาดคนไทย หรือตลาดของคนเอเชีย (ตอนนี้ผมพักอยู่ที่ Los Angles USA) เห็นผลไม้ เช่น เงาะ ลำไย กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า มะม่วง เป็นต้น ก็ดีใจว่าที่นี่ดีนะมีผลไม้ไทยขายด้วย แต่พอไปดูใกล้ๆแล้ว แทบสลบครับ คือผลไม้เหล่านั้นมาจากอเมริกาใต้ทั้งหมด ซึ่งคุณภาพใกล้เคียงกับของบ้านเราเลยทีเดียว แต่ไม่ได้มีของที่มาจากเมืองไทยแม้แต่อย่างเดียว ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวแทนคนไทยว่าในอนาคตถ้าเรายังไม่รู้จักการทำตลาดอย่างถูกต้องอย่างเพียงพอ หรือมัวแต่ทะเลาะกันไม่สามัคคีกัน เราอาจจะไม่มีที่ยืนในอนาคตให้แก่ลูกหลานของเรา จึงเป็นความฝันเล็กๆของผมที่พอจะมีความรู้บ้าง อยากเป็นแรงเล็กๆ ที่จะช่วยผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของคนไทยเกิดการเดินหน้าไปแข่งกับตลาดโลกให้ได้ 



จากตอนที่แล้ว ได้นำเสนอโดยเอาตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของเด็กชาวสิงคโปร์มาให้ดูเป็นตัวอย่าง ซึ่งได้แรงบันดาลใจ จากความสงสารญาติผู้ใหญ่ที่ต้องเกิดบาดแผลจากการทำอาหาร ทำให้เกิดความต้องการจะทำผลิตภัณฑ์ จนสามารถสร้างออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เรายังไม่ได้ยกตัวอย่างการต่อยอดจนสู่การออกสู่เชิงพาณิชย์ ในตอนนี้เราจะมาดูต่อว่า จะทำอย่างไรกันต่อไปถ้าจะต่อยอดออกสู่เชิงพาณิชย์ โดยตอนนี้ขอนำเสนอตามขั้นตอนที่ได้เสนอไปก่อนหน้านี้นะครับ บางคนอาจจะมองว่านี่มันเป็นขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน แต่ถ้าเราเข้าใจในพื้นฐานการต่อยอดแล้วเราก็จะมองเห็นภาพการมานำมาประยุกต์ได้ไม่ยาก

จากคราวที่แล้วถึงขั้นตอนที่สามารถผลิตได้จริงแล้ว จากนั้นเราจะมาดูต่อในการนำความคิดมาทดสอบ โดยนำความคิด(ในที่นี้เป็นผลิตภัณฑ์จริงได้แล้ว) ที่ผ่านขบวนการในการคัดเลือกมาทำการทดสอบโดยโจทย์ดังต่อไปนี้

มีความเป็นไปได้จริง ซึ่งงานนี้ทำออกมาได้จริง
มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริง ชิ้นงานเหล่านี้มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริง
ผู้ใช้สามารถจับต้องได้ (มีความสามารถในการซื้อได้จริง) เราจะต้องมากำหนดราคาที่จะขาย
เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (เป็นหัวข้อที่จำเป็นมากในปัจจุบัน) ต้องมาหาวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
สามารถระบุคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่ ต้องกำหนดคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และดีกว่าของที่มีอยู่หรือไม่
สามารถสร้างขึ้นมาได้จริง (ในช่วงเวลาที่คิดขึ้นมาหรือไม่) กำหนดขบวนการผลิตได้



ต่อไป เราจะมาตอบโจทย์ในแต่ละข้อกันนะครับ

มีความเป็นไปได้จริง ซึ่งงานนี้ทำออกมาได้จริง
เพราะหลังจากที่ทำการออกแบบผลิตภัณฑ์ออกมาได้แล้ว โดยมีชิ้นงานของผลิตภัณฑ์จริง แล้วมีการนำไปทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด แล้วค้นหาจุดบกพร่องเพื่อทำการปรับปรุงจุดบกพร่องที่พบเห็นในเบื้องต้น และค้นหาคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ว่าเป็นไปตามที่กำหนด ขาดหรือตกคุณสมบัติตามที่ต้องการหรือไม่ หรือมีจุดใดที่เพิ่มขึ้นมาอีกหรือไม่ และต้องมีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ทั่วไปหาให้เจอมากที่สุด ในขณะเดียวกัน ก็ต้องค้นหาวัสดุที่เหมาะสมและควรเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สามารถสร้างคุณค่าและอาจจะเลยไปถึงความสวยงานต่อผลิตภัณฑ์ เช่นอาจจะใช้วัสดุจากไม้ไผ่ซึ่งสามารถได้จากชุมชนใกล้เคียง หรือวัสดุจากธรรมชาติที่หาได้จากภายในประเทศเพื่อเป็นการกระจายรายได้(ถ้าทำได้) จากนั้นก็จะเป็นการทบทวนในขั้นตอนการผลิตว่าสามารถผลิตได้จริงหรือไม่ในแง่การผลิตเป็นอุตสาหกรรม เช่น ขบวนการผลิตจะเริ่มจากอะไร วัตถุดิบต่างๆ จะหาจากที่ใด ต้องใช้เครื่องมืออะไรในการผลิต ต้องใช้จำนวนคนเท่าไหร่ ใช้เวลาในการผลิตเท่าใด บรรจุภัณฑ์ควรจะเป็นอย่างไร มีต้นทุนในการผลิตเท่าไหร่ ซึ่งทุกอย่างที่บอกมาให้ใช้การประมาณการก่อนนะครับ เพื่อจะหาต้นทุนผลิตภัณฑ์ เพื่อจะได้รู้ว่าเราควรจะตั้งราคาขายที่เท่าไหร่ ก่อนที่จะไปถึงขบวนการนำสินค้าออกสู่เชิงพาณิชย์

เมื่อสามารถตอบโจทย์ต่างๆได้แล้ว เราจะมาเริ่มเข้าสู่ขั้นตอนการนำสินค้าออกสู่เชิงพาณิชย์โดยจะเริ่มจาก

การวิเคราะห์ทางธุรกิจ Business Analysis 

ในการวิเคราะห์ทางธุรกิจนั้นเป็นการวิเคราะห์โดยเราจะใช้หลัก 
SWOT (SWOT คืออะไร ?? “SWOT” มาจากตัวอักษรย่อของคำ 4 คำคือ Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส), Threats (อุปสรรค) SWOT คือ เทคนิคการวิเคราะห์ทางการตลาด) 


จุดแข็ง Strengths
ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เราออกแบบมานี้ โดยปกติน่าจะมีจุดแข็งของตัวมันเองอยู่แล้วในเบื้องต้น เพราะถ้าเราออกแบบเหมือนของเดิมก็ไม่เกิดความแตกต่าง จากนั้นเราควรจะมองหาจุดที่ควรปรับปรุงเพิ่มเติมถ้าทำได้ไม่ยุ่งยาก และไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ในที่นี้เช่น ด้ามมีดเราอาจจะเปลี่ยนเป็นไม้ หรือช้อนเราอาจจะใช้ไม้ และใช้ก๊อกทำเป็นลูกลอย ฝาหม้อใช้ไม้เป็นวัสดุในการทำเป็นฝา

จุดอ่อน Weaknesses
ในการออกแบบผลิตภัณฑ์หรือสินค้าต่างๆ หลังจากที่ออกแบบมาแล้วให้มองหาจุดอ่อนของตัวเองให้พบให้ได้ว่ามันคืออะไร สามารถแก้ไขได้หรือไม่เช่นงานนี้ วัสดุที่ใช้เป็นพลาสติก มีอายุการใช้งานที่สั้น หรือสปริงที่ใช้มีอายุที่ยาวเพียงพอหรือไม่ เราต้องประเมินให้รู้อายุการใช้งานคร่าวๆของสินค้าให้ได้ เพื่อวางแผนทำชิ้นส่วนทดแทน หรือวางแผนออกแบบผลิตภัณฑ์หรือสินค้าใหม่ให้เข้ามาทดแทนในระยะเวลาก่อนที่ ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าปัจจุบันจะหมดอายุหรือใช้การไม่ได้ หรือเราอาจจะเลือกใช้วัสดุที่เป็นธรรมชาติเช่นไม้ไผ้ทดแทนไปเลยก็ได้ เพื่อแก้ไขจุดอ่อนที่พบ

โอกาส Opportunities
มองหาจุดที่สร้างโอกาสแก่กลุ่มผู้ผลิตเช่น การสร้างรายได้จากการจ้างงาน จากการผลิตวัสดุจากธรรมชาติ การสร้างแรงบันดาลใจเพื่อต่อยอดผลิตภัณฑ์หรือสินค้าและอื่นๆ จากผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เราออกแบบมานี้ ก็จะเกิดการสร้างงานให้แก่กลุ่มคนจำนวนมากถ้าเรารู้จักการกระจายงานออกไป 

อุปสรรค Threats
อุปสรรคนั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องเจออย่างแน่นอน แต่ต้องมองหาให้เจอ แล้วต้องข้ามไปให้ได้ จากผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่ออกแบบมานี้ สิ่งที่ต้องระวังที่สุดอย่างแรกคือความโลภ เพราะถ้าโลภแล้วอย่างอื่นก็จะเดินต่อไปยากมาก เช่น ถ้าออกแบบมาเพื่อหวังผลทางการค้าก่อนเป็นอันดับแรก ก็จะทำให้สินค้าเกิดการตั้งราคาที่สูงจะทำให้ขายยากเพราะจะทำให้สินค้าอาจจะจับต้องไม่ได้ หาผู้ซื้อได้ยาก ไม่เป็นที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

การวิเคราะห์ตำแหน่งในการทำตลาด 
STP คือ กลยุทธ์ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย ย่อมาจาก Segmentation การแบ่งส่วนการตลาด, Targeting กลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการแบ่งกลุ่ม, และ Positioning การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า 


การแบ่งส่วนการตลาด Segmentation
ส่วนแบ่งทางการตลาด เป็นการมองตลาดโดยรวมว่ามีโอกาสมากน้อยเพียงใดในการเข้าไปมีส่วนร่วมในตลาดนั้นๆ จากตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัว ที่ใช้สำหรับคนสูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตานั้นปัจจุบันยังเป็นตลาดใหญ่พอสมควรและเป็นที่น่าสนใจเพราะมีผู้ที่ทำผลิตภัณฑ์หรือสินค้านี้ยังมีน้อยมาก มีโอกาสในส่วนแบ่งการตลาดที่สูง ปัจจุบันและในอนาคตอันใกล้นี้ก็จะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากยิ่งขึ้นมีประชากรที่สูงอายุมากขึ้นจึงเป็นโอกาสในการสร้างตลาดอย่างยิ่ง โดยจะต้องหาปริมาณให้ได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ จะได้รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายมีขนาดเพียงใดเพื่อใช้ในการวางแผนการตลาดได้ 


กลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการแบ่งกลุ่ม Targeting
การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย โดยอาจจะเริ่มต้นตั้งเป้าไว้ที่ 20% ของจำนวนกลุ่มเป้าหมาย โดยจะต้องไปศึกษาว่าปัจจุบันกลุ่มเป้าหมายมีจำนวนหรือปริมาณเท่าใด โดยธรรมชาติกลุ่มเป้าหมายจะอยู่ที่ใด มีพฤติกรรมการบริโภคอย่างไร วิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจะต้องทำอย่างไร อะไรคือแรงจูงใจในการบริโภค และอื่นๆ จากตัวอย่าง ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัว ที่ใช้สำหรับคนสูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตา ให้หาปริมาณของคนสูงอายุโดยกำหนดว่าผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปมีปริมาณเท่าใด ผู้มีปัญหาทางสายตาอาจจะไม่ต้องกำหนดอายุมีปริมาณเท่าใด เพื่อจะได้วางแผนทางการตลาดต่อไป

โดยธรรมชาติกลุ่มเป้าหมายจะอยู่ที่ใด 
กลุ่มเป้าหมายทางตรงได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาทางสายตา ซึ่งมักจะอยู่ที่บ้าน สวนสาธารณะ โรงพยาบาล โรงเรียน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ซึ่งกลุ่มนี้อาจจะมีอำนาจในการซื้อโดยตรงหรือสามารถชี้นำให้เกิดการซื้อได้มากกว่า 70%
กลุ่มเป้าหมายทางอ้อม ซึ่งได้แก่ ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ของ ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาทางสายตา ซึ่งอาจจะอยู่ร่วมกัน รู้จักกัน มีความสนิทสนม มีความปรารถนาดีกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสามารถแนะนำให้เกิดการซื้อได้เป็นกลุ่มที่สามารถชี้นำให้เกิดการซื้อหรือเป็นผู้ซื้อ หรือผู้จัดหาได้มากกว่า 30%

พฤติกรรมการบริโภคอย่างไร
กลุ่มเป้าหมายที่เป็น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาทางสายตา เราอาจจะแบ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อ ซึ่งสามารถตัดสินใจในการซื้อได้โดยตรง ผู้ซื้ออาจจะตัดสินใจจากการจูงใจให้เห็นประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก หรืออาจจะมีผู้แนะนำให้มาใช้ หรือได้ทดลองใช้งานจากของจริง เราอาจจะนำเสนอโดยตรงโดยผ่านเครื่องมือในการทำตลาดต่างๆ ส่วนกลุ่มที่ไม่มีกำลังซื้อ อาจจะใช้วิธีการหาผู้ซื้อไปบริจาคให้โดยตรง จัดตั้งกองทุน

วิธีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจะต้องทำอย่างไร
อาจจะใช้เครื่องมือทางการตลาดต่างๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัว ที่ใช้สำหรับคนสูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตา โดยอาจจะทำเป็น VDO สั้นๆสอนการทำอาหารโดยใช้ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัวที่ออกแบบมาเป็นหลัก แล้วค่อยแทรกถึงประโยชน์ว่าเป็นอย่างไร สามารถจะหาซื้อได้จากที่ไหนโดยไม่ใช้วิธีการขายตรงๆ อาจจะเสนอมุมมองของสินค้าเพื่อคนที่คุณรักและห่วงใย หรือไปจัดทำกลุ่มสอนทำอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ตามสวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล โรงเรียนและสถานที่ที่มีผู้สูงอายุไปใช้บริการ หรือทำใบโฆษณาติดประกาศตามร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือส่งผ่านสื่อโซเชียล โฆษณาผ่านสื่อโซเชียล โดยต้องสื่อถึงคุณค่า ความแตกต่างและความห่วงใยในการออกแบบของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก 



การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า Positioning 
การวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ เพราะก่อนที่เราจะกำหนดการวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า เราต้องรู้ก่อนว่าเรามีต้นทุนของสินค้าอยู่ที่เท่าไหร่ ควรจะตั้งราคาขายอยู่ที่เท่าไหร่ แล้วเราค่อยวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ โดยปกติสินค้าประเภทนี้จะสามารถวางตำแหน่งของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าไว้ในตำแหน่งระดับกลางถึงสูงได้ แต่สินค้าจะต้องดูดี มีบรรจุภัณฑ์ที่สวยงามแต่ไม่ควรลงทุนสูง ราคาโดยรวมต้องจับต้องได้ เราอาจจะสร้างการรับรู้ในด้านแหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์หรือสินค้า ว่ามีแหล่งที่มาจากที่ใดรายได้จากการขายใครได้ ผลดีของผลิตภัณฑ์หรือสินค้าจะได้กับใครบ้าง



การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Product Development 
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขั้นนี้จะเป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายก่อนผลิตจริงในเชิงอุตสาหกรรม จะเป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานเป็นหลักใหญ่ ที่เหลือก็อาจจะเป็นเรื่องขั้นตอนในการผลิต ต้นทุนในการผลิต บรรจุภัณฑ์ การจัดส่ง การวางจำหน่าย ไปจนถึงราคาขายไปถึงผู้ใช้งาน

การทดสอบทางการตลาด Test Marketing 
การทดสอบทางการตลาด เป็นการนำเอาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขั้นสุดท้ายแล้ว นำไปให้คนสูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตาได้ทดลองใช้งานจริง โดยอาจจะมีการกำหนดกลุ่มผู้ใช้ หาทำเลที่จะจัดจำหน่าย ให้แก่กลุ่มเป้าหมายที่คาดหวัง กำหนดช่วงเวลาในการทำตลาด เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆโดยมีระยะเวลากำหนดอย่างชัดเจน เพื่อหาจุดเด่น จุดด้อย ในการปรับปรุงก่อนการวางตลาดจริง ในขั้นตอนนี้จะต้องนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนอย่างละเอียด เพื่อให้การวางแผนการตลาดเป็นไปอย่างเหมาะสม รวมไปถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดต่างๆ โดยจะขอย้ำเลยว่าการตลาดคือเครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอคุณค่าของผลิตภัณฑ์หรือสินค้านั้นๆไปสู่กลุ่มเป้าหมาย

การต่อยอดเชิงพาณิชย์ Commercialisation
การต่อยอดเชิงพาณิชย์เป็นขั้นตอนในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จริง โดยการนำเอาผลของ SWOT ที่มาวิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย หรือจุดอ่อน จุดแข็ง รวมไปถึงโอกาส และอุปสรรค มาพิจารณาปรับปรุงวางแผนการตลาด กลยุทธ์ในการทำตลาด ในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จริง หลังจากนั้นต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ว่าเป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้หรือไม่ ดังนี้ 



ผลิตภัณฑ์หรือสินค้าที่เกี่ยวกับเครื่องใช้ในครัว ที่ใช้สำหรับคนสูงอายุ หรือผู้มีปัญหาทางสายตา
จุดแข็ง บริเวณคมมีดมีแผ่นปิดป้องกันมีดบาดในกรณีที่ไม่ได้ใช้งาน ฝาหม้อมีมือจับที่ค่อนข้างสูงจับสะดวก มีรูระบายไอน้ำร้อนไปในทิศทางตรงกันข้าม
จุดอ่อน วัสดุที่ใช้เป็นพลาสสติก อาจมีผลเรื่องอายุการใช้งาน และไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โอกาส ทำให้ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการทางสายตาปลอดภัยมากขึ้น ลดการเกิดอุบัติเหตุ เกิดการกระจายรายได้ เกิดการสร้าง Brand
อุปสรรค ความโลภของผู้คิดค้นหรือผู้จำหน่าย ถ้ามีการตั้งราคาในการจำหน่ายในราคาที่สูงมากกลุ่มเป้าหมายไม่สามารถจับต้องได้ ก็จะไม่เกิดการซื้อ และจะไม่ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุอย่างที่คาดหวังได้

กลยุทธ์ในการทำตลาด
อาจจะเริ่มจากการนำเสนอวิธีการทำอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ อาจจะผ่านทาง Youtube โดยใช้ผลิตภัณฑ์จริงที่เราออกแบบในการทำอาหาร เพื่อให้เห็นถึงคุณสมบัติก่อนและอาจจะบอกที่มาของผลิตภัณฑ์ ว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ใครได้รับประโยชน์บ้างแล้วค่อยบอกว่าสามารถหาซื้อได้ที่ไหน หรือซื้อได้โดยวิธีการอย่างไร จากนั้นอาจจะไปทำกิจกรรมตามโรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ตามตลาดต่างๆ หรือตามที่ที่กำหนดไว้

การทบทวนความสามารถของตลาด Review of Marketing Performance 
การทบทวนความสามารถของตลาด หลังจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วซักระยะเวลาหนึ่งเราควรจะมีข้อมูลของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ว่าเป็นมีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์อย่างไร เราควรจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาทำการพิจารณาเพื่อไว้ใช้ในการปรับปรุงในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการในการทำตลาดต่างๆ เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดยอดการจำหน่ายที่ดีขึ้นต่อไป 



จะเห็นได้ว่าการทำผลิตภัณฑ์หรือสินค้าขึ้นมาซักชิ้นเพื่อจะขายไม่ใช่เรื่องง่าย จะต้องมีการสร้างเรื่องราว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากถ้าเรามีความตั้งใจ ความใส่ใจและพยายามในการทำสิ่งนั้นๆ ขออย่างเดียวอย่าเลิกล้มความตั้งใจ ถ้าเรายังไม่หยุดเราก็ยังไม่แพ้ อย่างที่อาจารย์ผมสอนผมว่า “การทำธุรกิจคือ การแก้ปัญหาให้กับคนอื่น โดยการสร้างคุณค่าขึ้นมาใหม่ แต่การตลาดคือ การนำเอาเครื่องมือมาใช้ส่งต่อคุณค่าของสินค้าสู่กลุ่มเป้าหมายนั้น” 
ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนนะครับ และหวังว่าวันหนึ่ง ถ้าบอกว่าเนื้อวัวโคขุนโพนยางคำ ทุกคนจะรู้จักทันที เหมือนกันเนื้อวัวโกเบ เวลาถามกับใครเค้าก็จะรู้ทันทีว่าเป็นวัวที่ถูกเลี้ยงอย่างดีให้กินเบียร์กับอาหารอย่างดี มีเพลงให้วัวฟัง ปล่อยให้เดินตามสบาย พอเอามากินจะได้เนื้อที่มีไขมันแทรกอยู่เวลาทานจะนุ่มละลายในปากทันทีที่กินเข้าไป แต่เราไม่เคยรู้ว่าเนื้อวัวโคขุนโพนยางคำเค้ามีวิธีการเลี้ยงอย่างไรมาก่อนเลย อยากให้ของคนไทยเป็นที่รู้จักแบบเดียวกันนี้คือแค่พูดชื่อก็นึกออกทันทีเป็นในระดับโลกยิ่งดี สุดท้ายนี้ถ้ามีโอกาสจะทำเป็น VDO ให้ดูกันง่ายๆนะครับ อย่างเคยครับติดประเด็นไหนก็แจ้งมาได้ แล้วจะรีบตอบ หรือรีบแก้ไขให้ตามที่ขอมาแล้วพบกันใหม่นะ


วันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2561

ตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม


การออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม


ต้องขอโทษครับติดภาระกิจ ทำให้เขียนเสร็จช้า เป็นไงบ้างครับผ่านมา 7 ตอนแล้ว หวังว่าคงได้รับประโยชน์กันบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ยังมีเสียงบอกมาว่าขอให้ยกตัวอย่างให้เห็นกันแล้วเข้าใจง่ายๆมาอธิบายกันบ้าง ในตอนนี้จะทำเคสตัวอย่างเกี่ยวกับการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมกัน โดยเราจะเจาะลึกกันเป็นส่วนๆไปเลยนะครับ 


ผลิตภัณฑ์(Product) ในปัจจุบันเราสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ได้เป็นหลักๆ 2 ประเภท ได้แก่ 
1. สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ Physical products 
คนมักคิดถึงการสร้างสรรค์และการสรรหาสินค้าประเภท Physical products มาใช้หรือขายเป็นอันดับต้น ๆ Physical products เป็นสินค้าที่มีตัวตน อาทิ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ซองโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ไปจนถึงอาหารและขนม เป็นต้น ฯลฯ 

2. สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ Information products 
Information Products คืออะไร Information แปลว่า ข้อมูล และ Information products คือ สินค้าที่มุ่งเน้นการให้ข้อมูลความรู้ หรือที่เรามักคุ้นเคยกันดีในรูปแบบของ ชุดผลิตภัณฑ์ How-to ต่าง ๆ ในรูปแบบของ หนังสือ ซีดีออดิโอ วีดีโอคอร์ส และสัมมนาสด Information products เป็นสินค้าที่ไม่มีตัวตน อาทิ การบริการ การให้ความรู้ การอบรม ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งของโดยตรงและสัมผัสได้จากความรู้สึกเป็นหลัก อย่างไรก็ดีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ Information products นี้น้อยคนที่จะนึกถึง ซึ่งเป็นสินค้าอีกประเภทซึ่งสามารถทำเป็นธุรกิจ และมีอัตรากำไรที่ค่อนข้างสูง ถ้ามีโอกาสจะหาข้อมูลมาให้ในครั้งถัดๆไปนะครับ


การออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ในที่นี้เราจะหมายถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ประเภท Physical products ที่มีการใช้งานได้เหมือนเดิม ใกล้เคียงของเดิม หรือดีกว่าของเดิม หรือแตกต่างจากของเดิมเนื่องจากแนวความคิดใหม่ที่คนทั่วไปให้การยอมรับ สามารถใช้งานได้จริง และที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันคือต้องขายได้ด้วย ซึ่งในการคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมปัจจุบันมักจะนำเอาปัญหาที่พบอยู่บ่อยๆ มาตั้งเป็นโจทย์เพื่อหาทางในการแก้ไข จนในที่สุดก็เกิดมาเป็น ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ซึ่งในแต่ละครั้งจะเกิดมาจากการตั้งคำถามก่อนเป็นสำคัญในครั้งนี้จะขอนำเอาตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่ใช้สำหรับผู้พิการทางสายตา และผู้สูงอายุที่ยังพอจะทำได้ด้วยตัวเองมาเป็นตัวอย่างซัก 3 ชิ้น

การออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องใช้ในครัวที่ใช้สำหรับผู้พิการทางสายตา เป็นผลงานการออกแบบของนักศึกษาชาวสิงคโปร์ ที่จุดประกายขึ้นมาจากการไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่แล้วพบว่า มือของญาติผู้ใหญ่ท่านนั้นมีรอยแผลมากมายจากการโดนมีดบาด น้ำร้อนลวก ทำให้นักศึกษาท่านนั้นไม่สบายใจ สนใจที่จะหาทางในการลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการผลักดันให้มีการตั้งเป็นโครงการในการออกแบบผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวที่ใช้สำหรับผู้พิการทางสายตา โดยทีมนักศึกษาของสิงคโปร์ 




ปัญหาที่จุดประกายคือ สงสารญาติผู้ใหญ่ที่พบอุบัติเหตุจากการทำอาหารบ่อยมาก

การตั้งคำถาม
  1. มีเครื่องใช้ในครัวอะไรบ้างที่จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
  2. มีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุ
  3. มีวิธีในการป้องกันอย่างไรบ้าง
  4. ต้องทำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการทำอาหารไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย

ตัวอย่างหลังจากตั้งคำถามแล้วพบว่ามีเครื่องครัว หรือเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยอยู่ได้แก่

1.1 มีด 


1.2 ฝาหม้อ(ในขณะอยู่บนเตาและร้อนอยู่) 


1.3 การเติมน้ำร้อนใส่ในแก้ว 



การจำแนกสาเหตุในการเกิดปัญหาพบว่า
2.1 การถูกมีดบาดที่มือเนื่องจากมองไม่เห็น
2.2 โดนฝาหม้อลวก เนื่องจากการต้มอาหาร
2.3 การเติมน้ำร้อนใส่แก้วจนล้นออกมานอกแก้ว

หลังจากพบสาเหตุ ก็จะเริ่มหาวิธีการในการป้องกันของแต่ละปัญหา และสาเหตุจะพบว่าในการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรมเครื่องใช้ในครัวที่ใช้สำหรับผู้พิการทางสายตาครั้งนี้จะเป็นการออกแบบชุดรวมกันเพราะเป็นอุปกรณ์เครื่องครัว โดยจะแยกแต่ละอย่างได้ดังนี้

3.1 มีด สาเหตุของปัญหามาจากคมมีดเป็นหลัก ดังนั้นถ้าไม่โดนคมมีด โอกาสที่จะโดนมีดบาดก็จะลดลงได้มากที่สุด
3.2 ฝาหม้อ สาเหตุของปัญหามาจากความร้อนที่ทำให้น้ำในหม้อเดือดเป็นหลัก ดังนั้นจะต้องควบคุมทิศทางของไอน้ำในเวลาที่เกิดควันไอน้ำ และออกแบบที่จับของฝาใหม่ให้อยู่คนละด้านที่จะไม่โดนไอน้ำ
3.3 การเติมน้ำร้อนใส่แก้วน้ำ สาเหตุของปัญหาเกิดจากผู้เติมน้ำร้อนมองไม่เห็น ดังนั้นจึงต้องทำให้ผู้พิการทางสายตาจับต้องได้ว่าระดับอยู่ในระดับที่ต้องการแล้วหรือยัง

ในการตั้งโจทย์ครั้งนี้มีข้อกำหนดอยู่ว่า
4.1 ต้องทำเครื่องมือหรืออุปกรณ์ในการทำอาหารไม่ซับซ้อน ใช้งานง่าย
4.2 อุปกรณ์หรือเครื่องใช้จะต้องมีขนาดใกล้เคียงของเดิม หรือยังเป็นขนาดมาตรฐาน
4.3 จะต้องมีวิธีการใช้งานใกล้เคียงของเดิมหรือดีกว่า เช่นการจับการถือต้องง่ายสะดวก ก็คือการนำศาสตร์ หรือความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในการมาประยุกต์
4.4 รูปลักษณ์ในแง่ของศิลปะเช่น สีสันต่างๆไม่เน้นมาก แต่ในแง่ของ ขนาด ผิวสัมผัสรูปร่าง น่าจะมีผล 
4.5 วัสดุ จะมีผลในแง่ของน้ำหนัก ความทนทาน รวมไปถึงราคาของผลิตภัณฑ์ ต้องมีความเหมาะสม ต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ใช้และใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรับประทานได้
4.6 ต้องไม่เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
4.7 นำเอาเทคนิคในการสร้างนวัตกรรมมาใช้ได้แก่
      • การลดหรือเอาออก Subtraction
      • การเพิ่มหรือการเติม Multiplication 
      • การแยกหรือสลับขั้นตอน Division 
      • การรวมกัน Unification 
      • การเชื่อมโยง Relation
ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ไม่จำเป็นจะต้องใช้เหมือนกัน ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์จะใช้เทคนิคที่ต่างกันดังนี้ 



มีด เป็นอุปกณ์ที่ใช้ในครัวเพื่อใช้หั่น ตัด อาหารเป็นหลัก การออกแบบจึงเลือกเทคนิคการเพิ่มหรือการเติมส่วนที่ทำไว้สำหรับปิดคมมีดในขณะใช้งาน โดยใช้วัสดุที่ยืดหยุ่นได้ดี และมีความแข็งแรงสูง น้ำหนักเบา มาเป็นส่วนประกอบเพิ่ม ต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ใช้และใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรับประทานได้ 




ฝาหม้อ เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับหม้อ ใช้ในการปิดในขณะทำอาหาร ออกแบบโดยเทคนิคการเอาออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นฝาหม้ออเนกประสงค์ที่ควบคุมทิศทางของไอน้ำเวลามีน้ำเดือด โดยใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง ทนความร้อนได้ดี น้ำหนักไม่มากนักเนื่องจากในเวลาที่น้ำเดือดจะมีแรงดันในระดับหนึ่ง ซึ่งอาจทำให้ฝาร่วงหล่นได้จึงต้องมีน้ำหนักบ้างเล็กน้อย ต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ใช้และใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรับประทานได้ 



ช้อน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการชงเครื่องดื่มต่างๆ ออกแบบโดยการใช้เทคนิคการเพิ่ม โดยการเพิ่มลูกลอยไปใส่ไว้ในก้านของช้อน เมื่อเวลาที่ใส่น้ำถึงระดับที่ต้องการจะสัมผัสได้โดยลูกลอยจะค่อยๆลอยขึ้นมาจนนิ้วสัมผัสได้ วัสดุที่ใช้โดยที่ตัวช้อนอาจจะเป็นพลาสติกหรือโลหะก็ได้ ส่วนลูกลอยอาจจะเป็นพลาสติกที่ลอยน้ำได้ หรือเป็นโฟม แต่ต้องทนความร้อนได้ดี ต้องไม่เป็นพิษต่อผู้ใช้และใช้สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้สำหรับรับประทานได้ 



จะเห็นได้ว่าผู้ออกแบบ มีความตั้งใจที่ดี จนเป็นแรงบันดาลใจ ให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่เป็นประโยชน์แก่กลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงประสงค์ที่ตั้งเป้าไว้ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายในการทำเลย ซึ่งสามารถสรุปออกมาได้ดังนี้ ผู้ออกแบบต้องมี
  • สนใจ และใส่ใจ การทำอะไรต้องใช้ใจเป็นเครื่องมือนำไป
  • ช่างสงสัย ฉลาดในการตั้งคำถาม
  • ใฝ่รู้
  • ช่างฝัน หรือชอบฝัน
  • มุ่งมั่น
  • คิดแตกต่าง
  • ที่สำคัญที่สุด ต้องคิดว่าจะต้องทำให้ได้ ไม่ยอมแพ้ ต่ออุปสรรคทั้งปวง

ในครั้งนี้จะขอจบแค่ในส่วนการออกแบบก่อนนะครับ ส่วนของการนำออกสู่ตลาดจะนำมาเสนอในครั้งหน้าครับ สิ่งที่นำเสนอมาในครั้งนี้ ผมก็ได้มาจากการ มองเห็นความตั้งใจ ความมุ่งมั่น การเอาใจใส่ ของผู้ออกแบบเป็นหลัก เพราะผู้ออกแบบมีความรักต่อผู้ที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ ส่วนที่เหลือก็เป็นการใช้ศาสตร์ และศิลปะ นำมาผสมผสานกันอย่างลงตัวจนเกิดมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้งานได้จริง และมีผู้ยอมรับ จนสามารถที่จะขายได้จริง หวังว่าผู้อ่านคงจะพอเข้าใจบ้างนะครับ เหมือนเดิมสงสัยส่วนใดแจ้งเข้ามาได้ครับ


วันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2561

เครื่องมือในการพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม

เครื่องมือในการพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม


จากที่ได้แนะนำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรม ในตอนที่แล้วนั้นหวังว่าจะสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรมในเบื้องต้นได้ในระดับหนึ่ง ถ้ายังไม่ค่อยเข้าใจต้องค่อยๆอ่านแล้วทำความเข้าใจ โดยการลงมือทำจริงจึงจะเข้าใจได้ดีขึ้น สำหรับตอนนี้จะเป็นการแนะนำเครื่องมือที่ใช้ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเครื่องมือนี้ได้มีการนำมาใช้งานจริงในทุกธุรกิจจากการสำรวจและวิเคราะห์จากสิ่งประดิษฐ์ใหม่หรือนวัตกรรมต่างๆ โดยร้อยละ 85 ของธุรกิจทั่วไป จะใช้เครื่องมือนี้ในการพัฒนาหรือปรับปรุงให้การดำเนินงาน การบริการ หรือผลิตภัณฑ์ให้ดียิ่งขึ้นจนเป็นนวัตกรรมในแต่ละประเภท เครื่องมือนี้มีชื่อเรียกกันทั่วไปว่า “The Five Patterns of Innovation“ ซึ่งในที่นี้เราจะขอเรียกว่า 5 รูปแบบในการพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม อย่างที่เคยแจ้งไว้ เราจะเขียนให้กระชับ (เน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ และไม่อ้างอิงทฤษฎีมาก) เพื่อให้ผู้ที่สนใจแต่ไม่มีพื้นฐานได้เข้าใจได้ง่าย ก่อนที่จะไปหาข้อมูลศึกษาเพิ่มเติมได้ ดังนั้นเราจะมาเริ่มกันเลย


5 รูปแบบในการพัฒนาให้เป็นนวัตกรรม (The Five Patterns of Innovation)

อย่างที่บอกไว้ เครื่องมือนี้เป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กันมากในทุกวงการ โดยมีการสำรวจ และวิเคราะห์จากสิ่งประดิษฐ์ต่างๆที่มีอยู่ในโลก พบว่าร้อยละ 85 ใช้เครื่องมือนี้ในการพัฒนาเป็นหลัก เรามาดูกันว่ามีอะไรกันบ้าง

  1. การลดหรือเอาออก Subtraction
  2. การเพิ่มหรือการเติม Multiplication 
  3. การแยกหรือสลับขั้นตอน Division 
  4. การรวมกัน Unification 
  5. การเชื่อมโยง Relation

การใช้เครื่องมือนี้ สิ่งที่สำคัญ ผู้ออกแบบต้องเข้าใจถึงวิธีการและขบวนการในการเลือกใช้ รวมไปถึงเข้าใจในรายละเอียดของสิ่งที่ต้องการพัฒนาหรือปรับปรุงก่อนที่จะไปออกแบบต่อยอด เพื่อนำมาใช้ในการคิดต่อไม่ถูกออกแบบผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือการให้บริการ ได้อย่างเหมาะสม ซึ่งหมายถึง ความลงตัวของด้านต้นทุนทางการเงิน เวลา และปริมาณคน ที่ต้องนำมาเกี่ยวข้องด้วย เพราะว่าในบางกรณีที่ผู้ออกแบบอาจจะคิดออกมาได้แล้วแต่ลืมนึกในบางปัจจัย จะทำให้เกิดอาการไปไม่ถึงดวงดาวได้ ดังนั้นจะขอเริ่มกันดังนี้

การลดหรือเอาออก Subtraction

การลดหรือเอาออก เป็นเครื่องมือตัวหนึ่งที่นิยมใช้มากในเครื่องมือทั้งห้า มักจะนิยมใช้กับขั้นตอนในการผลิตหรือขั้นตอนในการบริการ แต่ก็อาจจะนำไปใช้กับการออกแบบผลิตภัณฑ์ก็ได้ขึ้นอยู่กับความชำนาญของแต่ละคน โดยเทคนิคหรือวิธีการใช้ จะนิยมนำเอากระบวนการ หรือผลิตภัณฑ์ มาพิจารณาก่อนว่ามีขั้นตอนในการทำงานทั้งหมดอยู่เท่าไหร่ และแจกแจงด้วยว่าแต่ละขั้นตอนมีความสำคัญอย่างไร ใช้ทรัพยากรมากหรือน้อยเท่าไหร่ จากนั้นก็มาพิจารณาว่าจะสามารถตัดขั้นตอนออกไปได้บ้าง ถ้าตัดออกไปแล้วมีผลกระทบอะไรบ้างโดยใช้เครื่องมือ SWOT มาเป็นเครื่องมือในการชั่งน้ำหนักของ ข้อดี-ข้อเสีย มีโอกาส-อุปสรรค อะไรบ้างเพื่อจะได้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ และหาทางในการพัฒนาปรับปรุงเพื่อนำไปสู่จุดที่หวัง หรือตั้งใจจะไปได้ โดยมีตัวอย่างดังต่อไปนี้

ตัวอย่างที่ 1 Uber อย่างที่เราทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า Uber เป็นธุรกิจที่รองรับการรับ-ส่งผู้โดยสาร จากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง โดยมีการชำระค่าบริการผ่านระบบเครดิตการ์ด โดยส่วนใหญ่ผู้โดยสารมักจะเป็นผู้ประสบปัญหาต่างๆ เช่น เนื่องจากผู้โดยสารมักมีปัญหาจากการหารถโดยสารยาก รถโดยสารมักปฏิเสธผู้โดยสาร สถานที่เรียกรถไม่มีรถเข้าไปถึง กำหนดเวลาในการเดินทางไม่ได้ หรือผู้โดยสารไม่สามารถรู้ได้ว่าคนขับรถคือใคร เป็นต้น ส่วนเจ้าของรถหรือคนขับรถ ก็มีปัญหาด้วยเช่นกัน




ไม่รู้จักผู้โดยสาร ไม่รู้ว่าไปส่งแล้วจะได้ค่าโดยสารหรือไม่ เวลารถเสียก็มีภาระในการซ่อมทำให้ไม่สามารถให้บริการได้ หรืออื่นๆอีกมากมายเรามาดูกันว่าการคิดทำ Uber ต้องคิดอะไรบ้าง

Uber คู่แข่งที่สำคัญ รถ Taxi รวมไปถึงรถที่ให้บริการรับส่งผู้โดยสารอื่นๆ

สิ่งที่เจ้าของรถ Taxi ต้องลงทุน
    • ขอใบอนุญาตทำรถ Taxi
    • ซื้อรถมาทำรถ Taxi
    • ซื้อรถมาแล้วต้อง มาทำสี ติดป้าย ติดมิเตอร์
    • หาคนมาขับ
สิ่งที่เป็นปัญหาของคนทำรถ Taxi
    • คนขับเลือกงาน หรือผู้โดยสาร
    • คนขับไม่รับผู้โดยสาร
    • ต้องมีค่าบำรุงรักษารถ
    • ต้องจัดหาที่สำหรับจอดรถ
    • ต้องมีทีมงานคอยจัดการต่างๆ
ข้อดีคือ ได้รับเงินสดทุกวัน

ข้อดีของ Uber ในมุมมองของเจ้าของกิจการ Uber

    • ไม่ต้องขอใบอนุญาตทำรถ Taxi
    • ไม่ต้องซื้อรถ ทำสี ติดป้าย ติดมิเตอร์
    • ไม่ต้องรับสมัครคนขับรถ
    • รองรับตลาดได้ทั่วโลก
สิ่งที่ Uber ต้องลงทุนคือ
    • ต้องลงทุนทำระบบ
    • ต้องมีทีมงานจัดการในแต่ละเมือง
จะสังเกตว่าในกรณีของ Uber นั้นมีการตัดหลายๆอย่างออกไป ทำให้ต้นทุนต่ำลง มีการจัดการที่ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างที่ 2 AirAsia เป็นธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำ ซึ่งเกิดจากการมองเห็นช่องว่างของธุรกิจการบริการทางการบิน ซึ่งโดยปกติการเดินทางด้วยเครื่องบินในอดีตมักจะมีค่าใช้จ่ายที่สูง คนที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมักจะไม่ค่อยนิยมใช้ หลังจากที่เห็นช่องว่างดังกล่าว ผู้บริหารของสายการบิน AirAsia จึงเกิดไอเดียในการเจาะช่องว่างดังกล่าวขึ้นโดยทำการศึกษาว่า ปัจจัยในการให้บริการทางการบินมีอะไรบ้าง จึงพบว่าปัจจัยในการให้บริการทางการบินหลักๆได้แก่ 

คู่แข่งที่สำคัญคือ Full Service Airline

ปัจจัยในการตัดสินใจในเลือกใช้บริการการบิน บอกจากราคาแล้วมีปัจจัยอื่นที่สำคัญดังนี้
  1. บินตรงเวลาหรือไม่ (อัตราการ Delay ต้องต่ำ)
  2. บริการดีหรือไม่ (ความพอใจในการบริการ ซึ่งเป็นความรู้สึกล้วนๆ) ข้อนี้ขออธิบายหน่อยนะ คือ ต้องเข้าใจก่อนว่าการบริการที่ดีมีความหมายว่า การเอาใจใส่ การพูดจาที่สุภาพ มีมารยาทที่ดี ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นแค่พื้นฐานในการบริการเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ การที่พนักงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าโดยตรงต้องมีความสามารถในการตัดสินใจ การกระทำนอกเหนือคู่มือการปฏิบัติงานมาตรฐานได้(แต่ต้องถูกต้อง) เมื่อลูกค้าร้องขอ เช่น ในเที่ยวบินนั้นมีการเสริฟอาหารเป็นข้าวมันไก่ แต่ลูกค้าร้องขอให้เอาเนื้อน่อง ไม่ใส่ผักโรย ไม่เอาแตงกวาได้หรือไม่ ถ้าพนักงานตอบว่าไม่ได้ ลูกค้าก็จะรู้สึกทันทีว่าบริการไม่ดี หรืออย่างเช่น ร้านกาแฟ Starbucks ถ้าเรากาแฟหก เราจะเห็นพนักงานนำกาแฟแก้วใหม่มาให้เรา หรือทานแล้วไม่ถูกใจ พนักงานก็จะทำให้ใหม่จนถูกใจ จะเห็นว่า ราคากาแฟใน Starbucks ไม่ใช่ถูกแต่พนักงานสามารถตัดสินใจในทันทีเพื่อให้บริการลูกค้าอย่างดีที่สุด ดังนั้น การบริการที่ดี คือความสามารถในการรองรับสถานะการณ์ต่างๆ ที่นอกเหนือจากคู่มือมาตรฐานได้อย่างดีและรวดเร็วที่สุด
  3. ที่นั่ง ต้องมีที่นั่งที่สะดวกสบาย นั่งนานๆไม่เมื่อย(มาก)
  4. อาหารที่อร่อย อันนี้สำคัญเหมือนกันเช่นสมมุติว่าเราจะเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไปลอนดอน มีสายการบิน ของแขก กับญี่ปุ่น ซึ่งมีราคาใกล้เคียงกันหรือเท่ากัน เราจะเลือกสายการบินไหน(คิดเองนะ) 



ดังนั้นเมื่อ AirAsia ได้ทำการวิเคราะห์แล้วพบว่าต้นทุนที่สูงที่สุดคือ 
    • เครื่องบินเพราะถ้าใช้เครื่องบินที่ลำใหญ่ก็จะมีต้นทุนที่สูง ปริมาณเที่ยวบินต่อวัน ค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าลงจอดสนามบิน เป็นต้น
    • การบินที่ตรงเวลา
    • การลดอาหารที่บริการบนเครื่อง
ซึ่งทำให้สายการบิน AirAsia เลือกที่จะทำธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำโดย
    • ใช้เครื่องบินที่ลำเล็กกว่าสายการบิน Full Service Airline 
    • มีเที่ยวบินที่มากกว่า แต่รองรับผู้โดยสารที่น้อยกว่า
    • เป็นสายการบินระยะใกล้
    • ไม่มีอาหารบริการบนเครื่อง(ถ้าต้องการสามารถซื้อได้)
    • ค่าบริการที่ต่ำกว่า Full Service Airline มากเพื่อรองรับผู้โดยสารระดับกลางเป็นหลัก
จะเห็นได้ว่าสายการบิน AirAsia จึงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาให้เป็นสายการบินต้นทุนต่ำ แต่ก็มีบริการที่สายการบิน Full Service Airline มีให้เพิ่มขึ้นมาบ้างแล้วตามความเหมาะสมซึ่งเราก็จะเห็นกันต่อไป

จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าทั้งสองธุรกิจได้ตัดเอาส่วนที่สำคัญของธุรกิจออก แต่ก็ปรับให้รองรับกับกลุ่มลูกค้าอย่างเหมาะสมลงตัว แถมยังสามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้นด้วยการนำเอา รูปแบบธุรกิจไปใช้ในประเทศต่างๆได้อีกด้วย(เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัว)

การเพิ่มหรือการเติม Multiplication

การเพิ่มหรือการเติมก็เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่นิยมกันในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปแล้วเรามักเจอกับปัญหาของผลิตภัณฑ์ที่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น มีคุณภาพ หรือคุณค่าน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เราจึงจะใช้เทคนิคในการเพิ่ม หรือเติมเข้าไปให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพ หรือคุณสมบัติที่ดีขึ้น เรามาดูตัวอย่างกันเลยครับ




ตัวอย่าง หูฟังที่ไร้เสียงรบกวน หูฟังโดยทั่วไป(โดยเฉพาะที่มีราคาถูก)มักจะฟังไม่ค่อยชัดถ้าอยู่ในที่มีเสียงดัง วิศวกรผู้ออกแบบจึงนำเอาหลักการเพิ่มเข้ามาใช้ โดยนำเอาไมโครโฟนมาติดที่หูฟังแล้วนำเอาสัญญาณที่รับเข้ามาเปลี่ยนขั้วของคลื่นเสียงให้ตรงกันข้ามกับต้นฉบับแล้วส่งเข้าไปรวมกับเสียงที่จะออกมาผลปรากฎว่า เสียงที่เป็นเสียงภายนอกโดยลบออกไปเกือบหมดหรืออาจจะหมดเลย(ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบ และอุปกรณ์ที่ใช้) ทำให้คุณภาพของเสียงที่ดีขึ้น ขายได้ราคาที่แพงขึ้น 



ตัวอย่าง โถส้วมประหยัดน้ำ ผลิตภัณฑ์นี้เดิมทีมีปัญหาคือต้องใช้ปริมาณน้ำค่อนข้างมากต่อหนึ่งครั้ง จึงเป็นที่มาของการคิดค้น โถส้วมที่ประหยัดน้ำ โดยวิธีการจะใช้วิธีการเพิ่มท่อเข้าไปในระบบเดิมอีก แต่เปลี่ยนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นหลายขนาดที่ระยะความยาวที่เท่ากัน ทำให้เกิดอัตราการไหลของน้ำที่ต่างกัน ทำให้น้ำมีแรงดันที่สูงขึ้นกว่าเดิม โดยที่ใช้ปริมาณน้ำที่น้อยลง จากตัวอย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่าวิศวกรก็ใช้หลักการในการเพิ่มหรือเติมมาใช้ให้เป็นประโยชน์การคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีขึ้น โดยมีแรงดันน้ำที่สูงขึ้นแต่ใช้น้ำที่น้อยลง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และยังสามารถขายได้ในราคาที่สูงขึ้นได้อีกด้วย

ตัวอย่าง สายการบิน ลุฟท์ฮันซ่า ที่มิวนิค ในช่วงที่มีการปรับปรุงสนามบินได้มีโอกาสทำการปรับปรุง เลานจ์ของเฟิร์สคลาส โดยการนำเอาจุดออกบัตรที่นั่ง การโหลดกระเป๋า และมีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองรวมเข้าไว้ในที่เดียวกัน และอยู่ในเลานจ์นั้นด้วยกัน นอกจากนั้นเมื่อถึงเวลาก็จะมีรถ Super Car มาจอดรอรับไปส่งที่เครื่องบิน โดยได้รับการสนับสนุนจาก เมอร์เซเดส เบนซ์ และพอร์ช นำรถมาให้บริการพร้อมคนขับ และเมื่อขากลับเข้ามาก็จะมีรถ Super Car มารับจากเครื่องบินกลับไปที่เลาจ์เพื่อให้ผู้โดยสารได้พักผ่อนและสัมผัสกับประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมของสายการบิน ลุฟท์ฮันซ่า และผู้โดยสารยังได้สัมผัสผลิตภัณฑ์ใหม่เช่นรถยนต์ของค่ายดัง ซึ่งผู้โดยสารระดับเฟิร์สคลาสเราไม่สามารถเข้าถึงตัวกันได้ง่ายๆ ซึ่งถือเป็นโอกาสดีมากที่ได้เข้าถึงตัวลูกค้าระดับนี้ได้

จะเห็นว่าเทคนิคการเพิ่มหรือเติม สามารถนำไปใช้ได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือการบริการ ขึ้นอยู่กับผู้ออกแบบมีวิสัยทัศน์อย่างไร หรือมีโจทย์อย่างไร






การแยกหรือสลับขั้นตอน Division

การแยกหรือสลับขั้นตอนเป็นเครื่องมือที่นิยมใช้กับการปรับปรุงกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยที่ใช้ทรัพยากรเท่าเดิม หรือต้องใช้น้อยลง ซึ่งในขั้นตอนนี้จะต้องไม่ทำให้ผู้ทำงาน หรือผู้ที่รับงานไปทำมีความรู้สึกว่าถูกเพิ่มงาน โดยวิธีนี้จะใกล้เคียงกับวิธีการลดหรือตัดออก โดยจะต้องนำเอากระบวนการ หรือขั้นตอนการทำงานมาเรียงกันตามลำดับดูก่อนและจัดลำดับความสำคัญของงาน หลังจากนั้นจึงทดลองสลับขั้นตอนการทำงาน ก่อนหรือหลังในเชิงแนวคิด แล้วลองให้ผู้ทำงานวิจารณ์ดูว่ามีความเป็นไปได้อย่างไรบ้าง จากนั้นทดลองทำจริงเพื่อดูผลลัพธ์ว่าเป็นไปตามที่วางแผนไว้หรือไม่ แล้วค่อยปรับปรุงอีกนิดหน่อยเพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมยิ่งขึ้น มาดูตัวอย่างในการสลับหรือแยกขั้นตอนกันดีกว่า

ตัวอย่าง โรงงาน P&G ต้องใช้หลอดเพื่อบรรจุผลิตภัณฑ์ที่เป็นครีม จึงต้องสั่งจากโรงงานทำหลอด ซึ่งปกติ โรงงานทำหลอดจะผลิตหลอดและส่งไปพร้อมฝาไปให้ P&G ซึ่งต้องมีการระมัดระวังอย่างมาก เพราะถ้าขนส่งไม่ดีจะทำให้หลอดที่ส่งไปเสียหายได้ง่าย วิธีการแก้ปัญหานี้ ทางโรงงานผลิตหลอดจึงขอย้ายเครื่องผลิตหลอดไปไว้ที่โรงงงาน P&G โดยใช้ที่เพียงเล็กน้อย แต่สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ถึงร้อยละ 70 แต่ผู้อ่านอาจจะคิดว่าแล้วโรงงาน P&G จะยอมให้มาตั้งได้อย่างไร  ทางโรงงานผลิตหลอดก็ให้ข้อเสนอโดยจะลดราคาค่าหลอดให้ จ่ายค่าเช่าที่สำหรับการติดตั้งเครื่องผลิตหลอดที่โรงงาน P&G และสินค้าที่ส่งให้ก็มีคุณภาพที่สูงขึ้นอัตราของเสียต่ำลงมาก(ถามว่าถ้าท่านเป็นผู้บริหาร P&G ท่านจะยอมหรือไม่ครับ)




ตัวอย่าง ขนมปังในกระป๋อง ปกติขนมปังในกระป๋องเรามักจะเห็นแต่ขนมปังอบกรอบใช่มั้ยครับ แต่ที่ประเทศญี่ปุ่นเค้าคิดเอาขนมปังแบบนิ่มๆ มาใส่กระป๋องครับ(มีบางคนอาจสงสัยว่าทำได้อย่างไร เพราะปกติแค่ไม่กี่วันก็ราขึ้นหมดแล้ว) ซึ่งวิธีการคือปกติทั่วไป เมื่อได้แป้งขนมปังที่พร้อมจะอบ เราก็จะอบขนมปังก่อนแล้วจึงบรรจุลงในกระป๋อง ซึ่งผู้ผลิตได้เปลี่ยนวิธีการทำ โดยสลับขั้นตอนใหม่จากแป้งที่พร้อมจะอบนำใส่กระป๋องก่อนแล้วนำไปอบทั้งกระป๋อง ผลที่ได้ก็คือขนมปังก็จะพองอยู่ในกระป๋องและยังสามารถอยู่ได้นานถึง 3 ปีอีกด้วยแต่ในความเป็นจริงก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนที่ว่ามานะครับ ผู้ผลิตก็ได้มีการลองผิดลองถูกกันมาพอสมควรกว่าจะทำออกมาได้สำเร็จ

จะเห็นว่าวิธีการแยก หรือสลับขั้นตอนนั้นส่วนสำคัญ ผู้คิดต้องมีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่ทำพอสมควร ถ้าไม่เช่นนั้นก็ยากพอสมควรนะครับกว่าจะได้ ผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือขั้นตอนที่เป็นนวัตกรรมได้
การรวมกัน Unification

การรวมกัน เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับ ผลิตภัณฑ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะใช้หลักการทำงานหรือของที่มีอยู่เดิมมาสร้างเป็นสิ่งใหม่ที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น ซึ่งแนวคิดที่ทำขึ้นมาใหม่มักจะเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนเป็นความแปลกใหม่ที่ผู้ใช้อยากได้ แต่นึกไม่ออกว่าจะบอกว่าอย่างไร อาจจะอ่านแล้วก็ยังนึกภาพไม่ค่อยออก เรามาดูตัวอย่างกันดีกว่า 

ตัวอย่าง ไฟหน้าของรถยนต์ เวลาเราขับรถอยู่ในทางโค้ง หรือทางเลี้ยวในเวลากลางคืน เรามักจะมองไม่ค่อยเห็นบริเวณด้านข้างและด้านหน้าของทางเลี้ยว วิศวกรจึงเกิดความคิดที่จะให้ไฟหน้าเอียงตามมุมที่รถหรือพวงมาลัยเลี้ยวไปด้วย ซึ่งก็เป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่เดิมเพียงแต่ปรับแต่งให้เกิดการหมุนตามการเลี้ยวของรถหรือตามพวงมาลัยรถ ซึ่งก็ทำให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ได้อีกด้วย 



ตัวอย่าง น้ำหอม CK One เป็นน้ำหอมที่แยกสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง แต่ที่จริงแล้วน้ำหอมหลักก็มาจากต้นตำรับเดียวกันเพียงแต่ใช้กลไกล หรือเทคนิคการตลาดเพื่อใช้แยกประเภทของผู้ชายผู้หญิงออกจากกัน ดังนั้นผลิตภัณฑ์จึงดูเหมือนว่ามีความใหม่และแตกต่างกันได้






จะเห็นได้ว่าการใช้เทคนิคการรวมกัน เป็นวิธีการที่ค่อนข้างลงตัวและแยบยลมาก ผู้ที่คิดต้องค่อยคิดและมองอย่างละเอียด จนพบจุดที่เรียกว่า Unmet need ของลูกค้าได้จึงค่อยพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการหรือการบริการใหม่ได้ตรงจุดของลูกค้า

การเชื่อมโยง Relation

การเชื่อมโยง เป็นเครื่องมืออันสุดท้ายที่นิยมใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ กระบวนการหรือบริการให้เกิดเป็นนวัตกรรม ส่วนใหญ่มักนำมาใช้กับผลิตภัณฑ์ หรือการบริการ วิธีการมักจะนำเอาของสองสิ่ง หรือวิธีการที่เกี่ยวข้องกันมารวมกันเป็นสิ่งใหม่ ซึ่งเราจะขออธิบายด้วยตัวอย่างน่าจะเข้าใจมากกว่า เรามาดูกันครับ

ตัวอย่าง แว่นตาที่ปรับสีได้ตามแสง ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้เกิดจากปัญหาว่าผู้ที่สวมแว่นตาอยู่แล้วเวลาออกไปอยู่กลางแจ้ง จะรู้สึกไม่สบายตาต้องพกแว่นอีกหนึ่งอันเพื่อใช้ใส่กันแดด ซึ่งทำให้เกิดความไม่สะดวกในการพกแว่นหลายอัน จึงเกิดความคิดที่จะใช้หลักการของความเข้มแสงมาทำปฏิกิริยาทางเคมีกับสารที่เคลือบบนผิวกระจกแว่นตาทำให้เกิดการปรับสีให้เข้มขึ้นเพื่อลดแสงที่จะเข้าตาให้ความเข้มแสงอ่อนลง เกิดความสบายตาเหมือนใส่แว่นกันแดด 

       ตัวอย่าง ร้านอาหารที่ขายของมึนเมา ที่มีช่วงเวลาในการขายที่เรียกว่า Happy Hours เพื่อเป็นการส่งเสริมการขาย เช่น มีการกำหนดช่วงเวลา Happy Hours ในเวลา 16.00-19.00 น. ซึ่งทำให้นักดื่มที่มีเวลา(หรืออาจจะหนีงานไปกิน) สนใจที่จะไปกินก่อน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนักดื่มส่วนใหญ่พอได้ดื่มแล้วทำให้รู้สึกติดลม ดังนั้นพอเลยเวลาแล้วถึงแม้ราคาแพงก็ไม่สนแล้วจึงทำให้เกิดยอดขายที่สูงขึ้นได้

ตัวอย่าง โปรโมชั่นมือถือต่างๆ ที่มักจะมีการระบุเวลาในการใช้งานกับราคาที่ได้ ซึ่งก็เป็นการสร้างยอดขาย โดยใช้วิธีเชื่อมโยงกันระหว่างเวลากับค่าใช้จ่าย ทำให้เกิดแรงจูงใจในการใช้บริการได้อีกเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าในชีวิตเราก็มักจะพบกับ เทคนิคการเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์ กระบวนการ หรือบริการใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคิดว่าหลังจากได้อ่านมาถึงตรงนี้เชื่อว่าน่าจะมีความคิดใหม่ๆกับตัวผู้อ่านเองได้นะครับ


ตอนนี้ต้องบอกว่ายากมากครับเพราะต้องหาข้อมูลเยอะมาก ทำการบ้านตลอด แต่ต้องการให้ผู้อ่านได้รับความรู้และเกิดความกระจ่างมากขึ้นจะได้รู้ว่าผู้ที่คิดสิ่งใหม่ๆ เค้าคิดกันอย่างไร แต่ก็ต้องบอกก่อนนะครับ ว่าที่เขียนขึ้นมานี้เป็นเพียงผิวๆของนักคิด ในรายระเอียดในการคิดนั้นยังมีอีกมากครับถ้าจะให้เอามาเขียนต้องเป็นเล่มเลยเดี๋ยวจะเบื่อที่จะอ่านกันก่อน หรือเรียนกันเป็นปีเลยครับ ในตัวอย่างบางเรื่องก็ไม่ลงในรายละเอียดมากนักเพราะเกรงใจผู้รู้หรือผู้ที่อยู่ในวงการ อย่างเคยถ้าใครมีคำถามหรือสงสัยก็ถามมาได้ครับ

วันจันทร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2561

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรม


การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรม


การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรม


เป็นอย่างไรบ้าง ผ่านมา 5 ตอนแล้ว ซึ่งข้อมูลส่วนใหญ่เป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้น พยายามที่จะไม่เน้นทฤษฎี เพื่อผู้ที่ไม่มีพื้นฐานจะได้ไม่เบื่อแต่ก็ต้องบอกไว้ก่อนนะ ว่าการเขียนครั้งนี้ต้องการให้ความรู้จึงสอดแทรกภาษาอังกฤษเข้ามาบ้างนะครับเพื่อจะได้คุ้นตา และเขียนให้กระชับและตรงประเด็นที่สุดเพื่อจะเอาไปใช้งานจริงเป็นหลัก อยากให้อ่านแล้วเห็นภาพทดลองทำได้จริง ดังนั้นถ้าไม่เข้าใจหรือไม่ทันตรงไหนย้อนกลับไปอ่านดูกันตามสะดวก หรือถ้าไม่เข้าใจสงสัยอะไรถามเข้ามาได้ที่บล็อคแล้วจะได้ตอบเพื่อแบ่งปันให้คนอื่นได้รู้ทั่วกัน ในตอนนี้จะพูดถึงขั้นตอนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรม (โดยจะมีบางส่วนจะต้องอ่านส่วนแรกมาก่อนถ้าอย่างนั้นจะไม่รู้เรื่องได้) ซึ่งในครั้งนี้เราจะใช้หลักการของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่มาอธิบาย โดยจะมีลำดับขั้นตอนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์แบ่งเป็นช่วงๆได้ดังนี้


    • การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Product Creating
    • การต่อยอดทางธุรกิจ Commercialisation  Business 




การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ Product Creating

ในช่วงการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์นั้นเป็นขั้นตอนที่จะต้องใช้ความคิดมาก เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ขึ้นมาใหม่โดยผลิตภัณฑ์เหล่านั้นควรจะต้องใช้งานได้ในชีวิตจริง มิใช่แค่สร้างขึ้นมาเพื่อบอกกับใครๆว่า “ฉันสามารถสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ขึ้นมาได้เท่านั้น“ แต่เราควรสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม (หรือเพื่อเสริมสร้างรายได้ก็ไม่ว่ากัน) ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้เป็นนวัตกรรมนั้นก็จะมีลำดับขั้นตอนดังนี้

    • การกำเนิดความคิด Idea Generation
    • การประเมินเลือกสรรความคิดที่เป็นไปได้ Idea Screening
    • การนำความคิดมาทดสอบ Concept Testing

ซึ่งในแต่ละหัวข้อจะมีข้อมูลปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งได้ทำการจัดหมวดหมู่ไว้ให้ตามรายละเอียดดังนี้
      • การกำเนิดความคิด Idea Generation
 




เป็นขั้นตอนที่ว่าด้วยเรื่องการตั้งคำถาม เพื่อให้เกิดแนวคิดหรือมุมมองใหม่ๆในการตั้งสมมุติฐาน การตั้งคำถามเพื่อจะหาแนวทางในการแก้ปัญหาได้ จะได้เป็นแรงบันดาลใจที่จะทำให้เกิดการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์จนนำไปสู่ความเป็นนวัตกรรมได้ ซึ่งที่มาของการตั้งคำถามนั้นอาจจะมาจาก ปัญหาที่เกิดจากผู้ใช้งาน จากผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ จากคู่แข่งของเรา จากพนักงานขาย ฝ่ายวิจัยและพัฒนา รวมไปถึงมุมมองของผู้บริหารระดับสูง เพราะฉะนั้นถึงได้เน้นว่าการตั้งคำถามเป็นสิ่งสำคัญ (ย้อนไปดูเรื่องการตั้งคำถามในบทก่อนหน้านี้) หลังจากที่เราได้คำถาม และค้นหาแนวทางในการแก้ปัญหาได้แล้ว ซึ่งเราก็ควรจะมีการคิดขึ้นมาหรือสร้างสรรค์แนวคิดขึ้นมาให้มากกว่า หนึ่งอย่างหรือควรจะมีให้มากที่สุดเท่าที่จะคิดได้ หลังจากนี้ก็จะไปสู่ขั้นตอนต่อไป

      • การประเมินเลือกสรรความคิดที่เป็นไปได้ Idea Screening 

การประเมินเลือกสรรความคิดที่เป็นไปได้นั้นจะเป็นขั้นตอนที่จะคัดเลือกความคิดที่คิดขึ้นมาได้ทั้งหมดโดยจะมีหลักในการเลือกสรรของความคิดเบื้องต้นคือ

    • มีความน่าสนใจ
    • มีความแปลกใหม่หรือไม่
    • แนวคิดไปลอกเลียนแบบ หรือซ้ำกับงานของผู้อื่นหรือไม่
    • สามารถแตกความคิด หรือแนวทางการใช้งานได้ีกหรือไม่
    • สามารถระบุผู้ใช้งานที่ชัดเจนหรือไม่

เจ้าพ่อแห่งวงการออกแบบ Dieter Rams (ซึ่งมีผลงานในการออกแบบมากกว่า 500 ชิ้น) ก็ได้กล่าวถึงศาสตร์ของผู้ใช้งาน (User-centered Design) ควรจะมีการออกแบบให้เข้ากับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์นั้นๆเป็นหลัก และที่น่าสนใจมากคือท่านได้ทิ้งท้ายด้วยประโยคที่น่าสนใจไว้ว่า “ Good design is as little design as possible”
ดังนั้นในขั้นตอนนี้เราจะตัดความคิดที่ไม่เข้าข่ายของหลักในการเลือกสรรออกให้เหลือเฉพาะที่เป็นไปได้ สามารถทำ หรือสร้างได้จริงก่อน แต่ไม่ใช่ว่าส่วนที่เราตัดไปจะใช้ไม่ได้เลยซะทีเดียวความคิดที่ตัดไปอาจนำกลับมาใช้ใหม่ได้ในอนาคตก็เป็นไปได้

      • การนำความคิดมาทดสอบ Concept Testing 


เป็นขั้นตอนในการนำความคิดมาทดสอบ โดยนำความคิดที่ผ่านขบวนการในการคัดเลือกมาทำการทดสอบ
    • มีความเป็นไปได้จริง
    • มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริง
    • ผู้ใช้สามารถจับต้องได้ (มีความสามารถในการซื้อได้จริง)
    • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (เป็นหัวข้อที่จำเป็นมากในปัจจุบัน)
    • สามารถระบุคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ได้หรือไม่
    • สามารถสร้างขึ้นมาได้จริง (ในช่วงเวลาที่คิดขึ้นมาหรือไม่)

การต่อยอดทางธุรกิจ Commercialisation  Business

การต่อยอดทางธุรกิจ เป็นการนำเอาสิ่งประดิษฐ์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมานั้นนำมาต่อยอดในเชิงธุรกิจโดยการขายเป็นหลักไม่ว่าจะขายในเชิงแนวคิด หรือขายเพื่อให้ในได้สิ่งที่สามารถแลกเปลี่ยนหรือสิ่งตอบแทนต่างๆ  ซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ที่คิดออกแบบพัฒนาผลิตภัณฑ์จนเป็นนวัตกรรม สามารถทำได้ดีในช่วงการสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม แต่มักจะตกม้าตายตอนจบเพราะส่วนใหญ่มักจะอ้างว่า “ผมขายของไม่เป็น, ดิฉันไม่รู้จักวิธีการขาย หรือไม่มีทุนในการสร้างธุรกิจ” ซึ่งจริงๆตรงนี้ก็ถือว่ายากจริงๆ แต่ก็อย่าได้ท้อ เรามาดูกันว่าเค้ามีขั้นตอนอย่างไรกันบ้าง เผื่อจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็เป็นไปได้ ขั้นตอนในการต่อยอดทางธุรกิจก็จะมีดังต่อไปนี้ 

    • การวิเคราะห์ทางธุรกิจ Business Analysis
    • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Product Development
    • การทดสอบทางการตลาด Test Marketing
    • การต่อยอดเชิงพาณิชย์ Commercialisation 
    • การทบทวนความสามารถของตลาด Review of Marketing Performance

ในแต่ละหัวข้อจะมีข้อมูลปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งได้ทำการจัดหมวดหมู่ไว้ให้ตามรายละเอียดดังนี้

การวิเคราะห์ทางธุรกิจ Business Analysis 


ในการวิเคราะห์ทางธุรกิจนั้นเป็นการวิเคราะห์โดยเราจะใช้หลัก SWOT (SWOT คืออะไร ?? “SWOT” มาจากตัวอักษรย่อของคำ 4 คำคือ Strengths (จุดแข็ง), Weaknesses (จุดอ่อน), Opportunities (โอกาส), Threats (อุปสรรค) SWOT คือ เทคนิคการวิเคราะห์ทางการตลาด) ที่ว่าด้วยเรื่องการเปรียบเทียบของจุดอ่อน จุดแข็ง โอกาส และอุปสรรคในการทำตลาด, การวิเคราะห์ตำแหน่งในการทำตลาด (STP คือ กลยุทธ์ในการเลือกกลุ่มเป้าหมาย ย่อมาจาก Segmentation การแบ่งส่วนการตลาด, Targeting กลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการแบ่งกลุ่ม, และ Positioning การกำหนดตำแหน่งหรือจุดยืนของสินค้าต่อกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด) การวิเคราะห์นั้นก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ว่าจะทำวิเคราะห์อะไรก่อนก็ได้ แต่สุดท้ายต้องได้ข้อสรุปว่าผลิตภัณฑ์ที่คิดขึ้นมาใหม่นั้นสมควรจะออกตลาดหรือไม่ จะต้องพัฒนาอะไรเพิ่มเติมอีก (เพื่อให้ผลิตภัณฑ์เกิดความสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งในความเป็นจริงส่วนใหญ่จะนำออกตลาดตั้งแต่มีความสมบูรณ์เพียงแค่ร้อยละ 70 ก็ผลิตออกมาก่อนแล้วไม่งั้นจะไม่มีอะไรกิน)

การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Product Development 



การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขั้นนี้จะเป็นการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายก่อนผลิตจริงในเชิงอุตสาหกรรม(หรือจะเป็นอุตส่าหากรรมก็ไม่รู้นะ) จะเป็นการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะสมกับผู้ใช้งานเป็นหลักใหญ่ที่เหลือก็อาจจะเป็นเรื่องขั้นตอนในการผลิต ต้นทุนในการผลิต บรรจุภัณฑ์ การจัดส่ง การวางจำหน่าย ไปจนถึงราคาขายไปถึงผู้ใช้งาน ในขั้นตอนนี้จะมีความยุ่งยากสำหรับนักออกแบบพอสมควร อย่างที่เคยบอก ศาสตร์และศิลป์ ต้องใช้ในขั้นตอนนี้อย่างจริงจังกันเลย

การทดสอบทางการตลาด Test Marketing 


การทดสอบทางการตลาด เป็นการนำเอาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขั้นสุดท้ายแล้ว นำไปให้ผู้ใช้ได้ทดลองใช้งานจริง โดยอาจจะมีการกำหนดกลุ่มผู้ใช้ ทำเลที่จะจัดจำหน่าย กลุ่มเป้าหมายที่คาดหวัง ช่วงเวลาในการทำตลาด(สินค้าบางอย่างอาจจะขึ้นกับฤดูกาล) เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆโดยมีระยะเวลากำหนดอย่างชัดเจน เพื่อหาจุดเด่น จุดด้อย ในการปรับปรุงก่อนการวางตลาดจริง ในขั้นตอนนี้จะต้องนำข้อมูลที่ได้มาวางแผนอย่างละเอียด เพื่อให้การวางแผนการตลาดเป็นไปอย่างดี รวมไปถึงกลยุทธ์ในการทำตลาดต่างๆ


การต่อยอดเชิงพาณิชย์ Commercialisation

การต่อยอดเชิงพาณิชย์เป็นขั้นตอนในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จริง โดยการนำเอา SWOT มาวิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย หรือจุดอ่อน จุดแข็ง รวมไปถึงโอกาส และอุปสรรค มาพิจารณาปรับปรุงวางแผนการตลาด กลยุทธ์ในการทำตลาด ในการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์จริง หลังจากนั้นต้องคอยสังเกตพฤติกรรมของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ว่าเป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้หรือไม่

การทบทวนความสามารถของตลาด Review of Marketing Performance 


การทบทวนความสามารถของตลาด หลังจากการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์แล้วซักระยะเวลาหนึ่งเราควรจะมีข้อมูลของผู้บริโภคหรือผู้ใช้ว่าเป็นมีความพึงพอใจต่อผลิตภัณฑ์อย่างไร เราควรจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาทำการพิจารณาเพื่อไว้ใช้ในการปรับปรุงในส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการในการทำตลาดต่างเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกิดยอดการจำหน่ายที่ดีขึ้นต่อไป


เป็นอย่างไรบ้างกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อให้เป็นนวัตกรรมค่อนข้างเยอะในรายละเอียดซึ่งพยายามคัดเอาแต่เนื้อๆมาให้อ่านกัน และค่อนข้างอัดแน่นมากเลย ต้องค่อยๆอ่าน ค่อยๆย่อยเอานะ ยังมีอีกเยอะจะทยอยเขียนออกมาเรื่อยๆ ตามสภาพเวลาที่จะอำนวยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้กับท่านผู้อ่าน ขอให้ประสบผลสำเร็จกันถ้วนทั่ว

ตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (การออกสู่เชิงพาณิชย์)

ตัวอย่างการออกแบบผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (การออกสู่เชิงพาณิชย์) จากที่เคยบอกไปครับว่าจุดประสงค์ของงานเขียนนี้คือ ต้องการเผยแพร่ความรู้ในการออ...